ส่งเศษเหล็กเข้าโรงหลอมเหล็ก
เศษเหล็กที่สามารถส่งโรงหลอมมีกี่ประเภท แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร

     เหล็กที่ใช้ในชีวิตประจำวันมีมากมาย เช่น สำหรับใช้สร้างอาคาร สร้างสถานีขนส่ง หรือแม้แต่สร้างรถยนต์ แต่หลายๆ คนก็ไม่เคยทราบเลยว่าเหล็กเหล่านั้นมาจากไหน หรือมีขั้นตอนการผลิตอย่างไร 
ในบทความนี้เราจะมาดูว่าเหล็กเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไมต้องส่งเศษเหล็กเข้าโรงหลอมเหล็ก 
     
     ก็เพราะว่าเศษเหล็กที่ไม่ได้ใช้งานสามารถนำมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่ เพราะเศษเหล็กที่นำมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่เป็นเหมือนวัตถุดิบหลักที่นำมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่ และการนำเศษเหล็กมาใช้ใหม่นี้เป็นการลดการใช้งานวัตถุดิบใหม่ที่ต้องใช้ในการผลิตเหล็ก และช่วยทำให้เกิดการลดปริมาณของการขุดหาแร่ธาตุส่วนผสมเหล็กและปริมาณขยะ นอกจากนี้การใช้เศษเหล็กมาผลิตเป็นเหล็กใหม่ยังช่วยประหยัดพลังงานและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตเหล็กจากวัตถุดิบใหม่

การส่งเศษเหล็กไปยังโรงงานหลอมเหล็กเพื่อนำมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่ จะมีการแยกประเภทเศษเหล็ก หลักๆ ดังนี้



เหล็กปั๊ม (Pump steel)
 
คือ เหล็กที่ผ่านการผลิตด้วยกระบวนการปั้มเหล็กเข้ารูป โดยใช้เครื่องปั้มอัตโนมัติที่สามารถกดเหล็กให้เข้ารูปตามแม่พิมพ์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งทำให้เหล็กปั๊มมีความแข็งแรงและความทนทานสูงกว่าเหล็กที่ผลิตโดยวิธีการอื่นๆ เหล็กปั๊มมักนิยมใช้ในงานก่อสร้าง โครงสร้างเหล็ก และการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมต่างๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติทนทานต่อการเสื่อมสภาพ และมีความแข็งแรงที่สูง นอกจากนี้ เหล็กปั๊มยังมีความสามารถในการต้านการกระแทกและการกัดกร่อน ซึ่งทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาวะแวดล้อมที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนและการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง




เหล็กหล่อ (Cast iron)

คือ วัสดุโลหะที่ได้รับความนิยมในการใช้งานในอุตสาหกรรมมานาน โดยมีคุณสมบัติที่ต่างจากเหล็กกล้าที่ผลิตจากการรีดและยืดเหล็ก การผลิตเหล็กหล่อนั้นมีกระบวนการผลิตที่ต้องผสมผสานส่วนผสมต่างๆ เข้าด้วยกัน และมีความซับซ้อนเพื่อให้ได้สูตรที่ตอบสนองความต้องการของการใช้งานได้อย่างเหมาะสม
เหล็กหล่อเป็นวัสดุที่มีความโปร่งและมีลักษณะที่ไม่เป็นเหมือนเหล็กกล้า โดยมีการเพิ่มส่วนผสมคาร์บอน (Carbon) ทำให้มีความแข็งแรงและทนทานต่อการกัดกร่อน นอกจากนี้ เหล็กหล่อยังมีความทนทานต่อการแตกหักและแรงเสียดทานได้ดี การผลิตเหล็กหล่อมีหลายวิธี อาทิเช่น การหล่อหลอม การหล่อเคลือบด้วยทองแดง การหล่อเคลือบด้วยโลหะอื่นๆ โดยกระบวนการการผลิตแต่ละวิธีจะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งทำให้เหล็กหล่อสามารถผลิตได้ในรูปแบบและคุณภาพต่างๆ ที่ตอบสนองความต้องการของการใช้งานได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้เหล็กหล่อยังมีการใช้งานในหลายอุตสาหกรรม อาทิเช่น การผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักร การผลิตท่อน

เศษขี้กลึง จากการกลึงเหล็ก
เศษเหล็กที่เกิดขึ้นจากการกลึง (machining) หรือการเจาะ (drilling) เหล็ก จะเรียกว่า "เศษเหล็กเคลือบ" (machined steel scrap) หรือ "เศษเหล็กแต่งผิว" (dressed steel scrap) ซึ่งเป็นเศษเหล็กที่เกิดจากการตัดเหล็กด้วยเครื่องจักร หรือการเจาะเหล็กด้วยเครื่องมือ โดยเศษเหล็กเคลือบจะมีการผ่านกระบวนการแต่งผิว เช่น การขัด หรือการเจียระแนง เพื่อทำให้พื้นผิวเรียบ และมีความสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยลดการสึกหรอ หรือการบิดงอของเหล็กในกระบวนการผลิตเหล็กใหม่ โดยเศษเหล็กเคลือบสามารถนำกลับมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่ได้ หรือนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ตามประเภทของเศษเหล็กนั้น ๆ

เหล็กตัดไฟ (burnt steel scrap) 
คือ เศษเหล็กที่มีการตัดด้วยเครื่องตัดไฟ (oxy-fuel cutting) ซึ่งเป็นกระบวนการตัดเหล็กโดยใช้แก๊สออกซิเจนและแก๊สเชื้อเพลิงเป็นตัวตัด ซึ่งส่วนมากจะใช้กับเหล็กที่มีความหนาเป็นพิเศษ เช่น เหล็กเกรด A36 หรือเหล็กแข็ง ๆ ดังนั้น เศษเหล็กตัดไฟจะมีลักษณะเป็นเส้นยาว ๆ และมักจะมีชั้นความหนาของเหล็กที่ถูกตัดด้วยไฟ นอกจากนี้ เศษเหล็กตัดไฟยังมีอุณหภูมิสูง เนื่องจากกระบวนการตัดด้วยไฟ ดังนั้นจึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพก่อนนำกลับมาใช้งานใหม่ โดยเศษเหล็กตัดไฟสามารถนำกลับมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่ได้ หรือนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ เช่น การผลิตเหล็กกล้า การผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า และอื่น ๆ ตามประเภทของเศษเหล็กนั้น ๆ


เหล็กบาง (thin steel scrap) 

คือ เศษเหล็กที่มีความหนาน้อยกว่าเหล็กที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างเชิงพาณิชย์หรือสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ เช่น อาคารสูง สะพาน หรือเรือ ซึ่งเป็นเหล็กที่มีความบางเพียงไม่กี่มิลลิเมตร โดยเศษเหล็กบางส่วนมาจากการผลิตเหล็กโครงสร้างเชิงพาณิชย์หรือสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ ที่ต้องทำการตัดเหล็กเพื่อให้มีขนาดและรูปทรงตามที่ต้องการ นอกจากนี้ เศษเหล็กบางยังเกิดจากการผลิตผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีการใช้เหล็กบาง เช่น กระดาษทอง บรรจุภัณฑ์อลูมิเนียม และอื่น ๆ โดยเศษเหล็กบางสามารถนำกลับมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่ได้ หรือนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ตามประเภทของเศษเหล็กนั้น ๆ


เหล็กหนา (thick steel scrap)
 
คือ เศษเหล็กที่มีความหนามากกว่าเหล็กบาง ๆ ซึ่งมักเป็นเหล็กที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างเชิงพาณิชย์หรือสิ่งก่อสร้างใหญ่ ๆ เช่น อาคารสูง สะพาน หรือเรือ ซึ่งเป็นเหล็กที่มีความหนาในช่วงหลักๆ ตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรขึ้นไป โดยเศษเหล็กหนาส่วนใหญ่มาจากการผลิตเหล็กโครงสร้างเชิงพาณิชย์หรือสิ่งก่อสร้างใหญ่ ๆ ที่ต้องใช้เหล็กหนา เช่น แผ่นเหล็กที่ใช้ในการสร้างตัวถังของรถยนต์ แผ่นเหล็กที่ใช้ในการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร หรืออุปกรณ์อื่น ๆ นอกจากนี้ เศษเหล็กหนายังเกิดจากการตัดเหล็กหนาเพื่อให้ได้ขนาดและรูปทรงที่ต้องการ และสามารถนำกลับมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่ได้ หรือนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ตามประเภทของเศษเหล็กนั้น ๆ

เหล็กหนาพิเศษ (heavy melting scrap) 
คือเศษเหล็กที่มีความหนามากกว่าเศษเหล็กหนาทั่วไป โดยมักเป็นเหล็กที่มีความหนาตั้งแต่ 6 มิลลิเมตรขึ้นไป ซึ่งเป็นเหล็กที่ใช้ในการสร้างเครื่องจักรใหญ่ ๆ หรืออุปกรณ์อุตสาหกรรมใหญ่ ๆ เช่น ชิ้นส่วนของเครื่องจักร ส่วนประกอบของเครื่องยนต์ เครื่องจักรขนาดใหญ่ ๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นเหล็กที่มีความแข็งแรงและทนทานสูง ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่ได้ โดยเศษเหล็กหนาพิเศษจะถูกแยกไว้จากเศษเหล็กอื่น ๆ ในสิ่งที่เรียกว่า "เศษเหล็กหนา" เพราะมีคุณสมบัติและคุณภาพที่แตกต่างกันไป และมีมูลค่าสูงกว่าเศษเหล็กทั่วไปด้วย



เหล็กอะไหล่ (shredded auto scrap) 
คือเศษเหล็กที่เกิดจากการแตกเป็นชิ้นๆของรถยนต์ที่ถูกทิ้งหรือนำมายกเว้นในการผลิตรถยนต์ใหม่ ซึ่งอาจประกอบด้วยเหล็กที่เป็นส่วนประกอบของรถยนต์ เช่น เครื่องยนต์ วัสดุกันชน โครงรถ ล้อ เบรก ส่วนประกอบของระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์อื่น ๆ ซึ่งมักจะมีความหนาเหมือนเศษเหล็กหนา ๆ และมีคุณภาพและปริมาณที่แตกต่างกันไป ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตเหล็กใหม่ และมีมูลค่าสูงกว่าเศษเหล็กทั่วไป





การจัดการด้านการเงิน